ร้องนายกฯตรวจสอบคดีบันลือโลก ศาลฎีกาตัดสินแล้วแต่เจ้าหน้าที่ไม่ทำตาม
ร้อง นายกรัฐมนตรี ตรวจสอบคดีบันลือโลก ศาลฎีกา ตัดสินแล้ว 17 ปี แต่ เจ้าหน้าที่ไม่ทำตาม สร้างความเสียหายแก่รัฐ
วันที่ 10 ก.ย. 59 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ยงยศ เทียมประชา ข้าราชการบำนาญ อดีต รอง ผกก.หัวหน้า สภ.สุคิริน จ.นราธิวาส ได้ร้องทุกข์ ในคดีอิทธิพล ที่ตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ ทำหน้าที่จีบกุม ผู้ค้าน้ำมันเถื่อนอิทธิพลรายใหญ่ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา พล.ต.ต.พิชัย พิศาลสุพงศ์ ผช.ผบช.4 ในขณะนั้น ให้ทำการสืบสวนจับกุม การค้าน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นเรื่องการทำลายเศรษฐกิจของชาติ ที่ จ.สตูล เมื่อ ปี.พ.ศ.2552 ซึ่งขณะนั้น ตนทำหน้าที่ สว.สืบสวน ที่ สภ.เมืองสตูล
และตนได้ทำการสืบสวน จนจับกุมผู้นำความผิด พร้อมของกลางเป็นน้ำมันเถื่อน 37,800 ลิตร รถบรรทุก 6 ล้อ 1 คัน พร้อมอุปกรณ์การ ดูด ถ่าย น้ำมัน และเรือบรรทุกน้ำมันที่ใช้ในการทำผิด 2 ลำ คือ เรือฮะเฮง 1 และเรือลักษมี โดยของกลางรวมทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท
คดีนี้ เป็นคดีอิทธิพล เรื่องจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายนี้ เป็นนักการเมืองท้องถิ่น และเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่ และในวงการราชการ จึงมีการต่อสู้คดีระหว่างตนเองผู้จับกุม กับเจ้าของเรือบรรทุกน้ำมัน โดยสู้คดีกันถึง 3 ศาล และศาลฎีกาได้ตัดสินให้ตนเองชนะคดี ตามคำสั่งศาลฎีกาเลขที่ 8857.8858/2542 โดยให้จำคุกจำเลยที่ 1 เจ้าของเรือ ส่วนของกลางทั้งหมด ให้ริบเป็นของแผ่นดิน โดยศาลฎีกา ได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2542
พ.ต.ท.ยงยศ เปิดเผยว่า หลังศาลฎีกาตัดสิน ให้ริบของกลางเป็นของแผ่นดิน จนถึงขณะนี้ เวลาผ่านไปแล้ว 17 ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่มีได้ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลแต่อย่างใด โดยเฉพาะเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 2 ลำมูลค่า 40 ล้านตามราคาประเมินได้หายไปจากการรับผิดชอบของศุลกากรจังหวัดสตูล ซึ่งตนเองได้ติดตาม ทวงถาม และร้องเรียน ไปทุกหน่วยงาน ที่มีส่วนในการรับผิดชอบ เพื่อที่จะให้ขายของกลางเพื่อส่งเงินให้กับรัฐ เนื่องจากคดีนี้รัฐเป็นผู้เสียหาย แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า
พ.ต.ท.ยงยศ กล่าวว่า คดีนี้มีความซับซ้อน และมีการช่วยเหลือกัน จนทำให้หน่วยงานทุกหน่วย ไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาล สร้างความเสียหายให้กับขบวนการยุธรรมเป็นอย่างยิ่ง ตนเองได้ทำหนังสือร้องเรียน กราบเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2557 9 มิถุนายน 2558 และ 27 มิถุนายน 2558 -21 กันยายน 2558 และลงวันที่ 29 มีนาคม 2559 แต่ก็ยังไม่เห็นมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามคำสั่งของศาลแต่อย่างใด
และนอกจากร้องเรียน นายกรัฐมนตรีแล้ว ตนเอง ยังได้ทำหนังสือร้องเรียนถึง หน่วยงานอีกหลายหน่วย เช่น ป.ป.ช. ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ผ่านทางปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ตรวจเงินแผ่นดิน โดยทุกหน่วยงานต่างรับปากว่าจะดำเนินการให้ แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป โดยตนเองเชื่อว่าฝ่ายของผู้เสียหาย ซึ่งมีอิทธิพลในวงการเมืองและราชการ ให้อิทธิพลแทรกแซง จนไม่มีหน่วยงานไหนดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งของศาล
คดีนี้ รัฐเป็นผู้เสียหาย เพราะรายได้จากการจำหน่ายของกลางกว่า 40 ล้านบาท เป็นเงินที่ต้องนำเข้ารัฐก่อน และจึงจ่ายบางส่วนตามกฎหมายให้กับผู้นำจับ ตาม พ.ร.บให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 แต่วันนี้ คดีตัดสินไปแล้ว 17 ปี ยังไม่มีการดำเนินการ ทั้งที่การไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาล หรือคำพิพากษา เจ้าพนักงาน ต้องมีความผิดตามมาตรา 203 ป.อาญา ด้วย
การที่ตนเองมาร้องทุกข์ ร้องเรียนครั้งนี้ เพราะฟังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช.ประกาศว่า จะขจัดการคอร์รัปชั่น และข้าราชการทุจริต และผู้มีอิทธิพล ซึ่งคดีนี้ เป็นคดีอิทธิพล มีการทุจริตของข้าราชการ และที่สำคัญคือ หน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ซึ่งเป็นความเสียหายต่อขบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง จึงขอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำการตรวจสอบ เพื่อมิให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ ที่เป็นของแผ่นดิน พ.ต.ท.ยงยศ กล่าวท้ายสุด